นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนกันยายน 2561

ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

  • ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤศจิกายน 2561) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (Neutral) (ช่วงค่าดัชนี 80 – 120) โดยเพิ่มขึ้น 24% อยู่ที่ระดับ 109.45
  • ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศลดลงเล็กน้อยจากการสำรวจเดือนก่อน ยังคงอยู่ที่ Zone ร้อนแรง (Bullish)
  • ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ และกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่นักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง โดยทั้งสามกลุ่มแต่ยังคงอยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral)
  • หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร (BANK)
  • หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ (MEDIAS)
  • ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ
  • ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

“ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนสิงหาคม มีการเคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัวในช่วงระหว่าง 1680-1720 จุด ภายหลังจากที่ดัชนีฟื้นตัวขึ้นช่วงเดือนกรกฎาคม  โดยดัชนีฯช่วงปลายเดือนมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1720 จุด จากแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศที่ลดลงเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน นับจากที่มียอดขายสุทธิสูงสุดในช่วงเดือนพฤษภาคม ตัวเลขเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ขยายตัวต่อเนื่องในไตรมาส 2 และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 เป็นที่น่าพอใจ

ผลสำรวจชี้ว่าทิศทางการลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทย ทั้งนี้นักลงทุนยังคงเฝ้าติดตามทิศทางการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า ภายหลังจากที่มีนโยบายกีดกันทางการค้าและปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน ว่าจะมีทิศทางผ่อนคลายหรือมีทางออกในการเจรจาในลักษณะใด รวมถึงการประเมินผลกระทบที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ Emerging Market เช่นตุรกี อาร์เจนติน่า ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีและค่าเงินที่ปรับตัวลดลงมาก โดยหากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศรุนแรงขึ้นจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง นอกจากนี้ ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคือ ทิศทางนโยบายทางการเงินของสหรัฐที่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ ขณะที่เศรษฐกิจจีนและยุโรปส่งสัญญาณชะลอตัวลง ทิศทางนโยบายทางการเงินของธนาคารยุโรปที่มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยตลอดปีนี้ ทิศทางนโยบายทางเศรษฐกิจของจีนที่มีต่อสงครามทางการค้า รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่จะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาค”