นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนสิงหาคม 2561

ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

  • ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม 2561) เพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (Neutral) (ช่วงค่าดัชนี 80 – 120) โดยเพิ่มขึ้น 69% อยู่ที่ระดับ 108.11
  • ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการสำรวจเดือนก่อนอยู่ที่ Zone ร้อนแรง (Bullish)
  • ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่กลุ่มนักลงทุนรายบุคคลต่างปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงอยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral)
  • หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร (BANK)
  • หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธุรกิจเหล็ก (STEEL)
  • ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ
  • ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ เงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ

“ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนกรกฎาคม มีการเคลื่อนไหวแกว่งตัวในทิศทางที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของเดือน จากนั้นช่วงกลางเดือนดัชนีฯมีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุด 1601.42 จุดในช่วงต้นเดือน มาสู่ระดับสูงสุดที่ 1701 จุด ในช่วงปลายเดือน จากแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศที่ลดลงในช่วงเดือนกรกฎาคม และความเชื่อมั่นภาวะเศรษฐกิจของไทยที่มีทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง และ GDP Growth มีแนวโน้มขยายตัวถึง 4-5% ตามนโยบายการกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ ผลสำรวจชี้ว่าทิศทางการลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า นักลงทุนเชื่อมั่นการเติบโตเศรษฐกิจของไทย คาดหวังว่ายอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าลดลง และเชื่อมั่นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังคงมีความกังวลทิศทางเงินทุนเข้าออกระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายกีดกันทางการค้าและสงครามทางการค้า ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจโลก อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง เป็นปัจจัยที่นักลงทุนติดตามมากที่สุด สำหรับเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ นั้น ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคือ ทิศทางเศรษฐกิจโลกแม้ว่า IMF ได้ประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจโลก จะยังขยายตัวแข็งแกร่ง 3.9% แต่มีความกังวลสงครามการค้า ที่คาดว่าจะกระทบต่อการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจโลกในปี 2020 ผลกระทบจากการเจรจา BREXIT ของอังกฤษที่มีท่าทีประนีประนอมมากขึ้น ทิศทางนโยบายทางการเงินของธนาคารยุโรปที่ส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยตลอดปีนี้ ทิศทางนโยบายทางการเงินของญี่ปุ่นที่อาจมีการปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน  ขณะที่ต้องพิจารณาถึงแนวโน้มผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจจีนที่มีต่อสงครามทางการค้า รวมถึงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินและการคลังของจีนและการอ่อนค่าของค่าเงินหยวน ที่จะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาค”