“ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนอยู่ในโซนร้อนแรงต่อเนื่อง

นักลงทุนคาดหวังสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลายจากการได้รับวัคซีน และการไหลเข้าของเงินทุน

ขณะที่กังวลกับจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 ที่ยังเพิ่มขึ้นและสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ”

—————————————————————————————————————————-

                                                                       FETCO Press Release: วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564

 

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 พบว่า “ดัชนีฯ  ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 152.19 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.8% จากเดือนก่อน ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม นักลงทุนคาดหวัง

การคลี่คลายสถานการณ์ Covid-19 จากการที่ไทยได้รับวัคซีนลอตแรกเป็นปัจจัยหนุนหนุนมากที่สุด  รองลงมาคือการไหลเข้าของเงินทุน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของ Covid-19 ที่ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น รองลงมาคือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

  • ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤษภาคม 2564) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (ช่วงค่าดัชนี 120 -159) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.8% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 19
  • ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรงอย่างมาก” กลุ่มนักลงทุนบุคคล และกลุ่มนักลงทุนสถาบันอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ในขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”
  • หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)
  • หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดเหล็ก (STEEL)
  • ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ Covid-19 คลี่คลายจากการได้รับวัคซีน
  • ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ระบาดของ Covid-19 ที่ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น

 

“ผลสำรวจ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2564 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับตัวลดลง 2.3% อยู่ที่ระดับ 140.74 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 8.6% อยู่ที่ระดับ 114.29 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น 10% อยู่ที่ระดับ 129.41 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น 46.7% อยู่ที่ระดับ 183.33

 

นักลงทุนสนใจลงทุนในหมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM) มากที่สุด รองลงมาคือหมวดธนาคาร (BANK) และหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERGY) ขณะที่นักลงทุนเห็นว่าหมวดเหล็ก (STEEL) ไม่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด  รองลงมาคือหมวดแฟชั่น (FASHION) และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP)

 

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 SET index มีความเคลื่อนไหวในกรอบแคบ อยู่ระหว่าง 1,478.05 – 1,523.11 ซึ่งในเดือนนี้มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2563 ซึ่งหดตัวลงที่ระดับ -6.1% จากผลกระทบต่อเนื่องของการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ที่ทำให้อุปสงค์ภายนอกประเทศทั้งการส่งออกสินค้าและบริการในภาพรวมยังคงอ่อนแอ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง และในช่วงปลายเดือน FTSE Russell ประกาศลดสัดส่วนหุ้นไทยในการคำนวณดัชนี อย่างไรก็ตาม ตลาดทุนโดยรวมยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่ FED ประกาศใช้มาตรการ QE อัดฉีดสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง การมาถึงของวัคซีน Covid-19 “ซิโนแวค” ลอตแรก และการที่มีนักลงทุนรายใหม่เปิดบัญชีเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์จำนวนมากเกือบแสนบัญชีเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ OR ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564  โดย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ SET Index ปิดที่ 1,496.78 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.03% จากเดือนก่อนหน้า

 

ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การทยอยคลาย Lock Down ในหลายประเทศในยุโรปและอเมริกาหลังจากประชาชนได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ  ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา และผลการประชุมของ 3 ธนาคารกลางหลัก (Fed, ECB และ BoJ) หลัง Bond Yield ในหลายประเทศปรับตัวสูงขึ้น ส่วนปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ กระบวนการแจกจ่ายวัคซีน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ แนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในวาระสามซึ่งหากไม่ได้รับความเห็นชอบ อาจส่งผลต่อเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองอีกครั้ง”

 

ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนมีนาคม 2564

 

ผลจากดัชนีสะท้อนการคาดการณ์ของตลาดที่คงมุมมองเช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว ว่า กนง. จะรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และอายุ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 1 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากการสำรวจเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 64 โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากที่คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และ 10 ปีอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากปัจจัยจากต่างประเทศจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นสูงมากในช่วงที่ผ่านมา และความกังวลเรื่อง COVID-19 ที่ลดลง และการแจกจ่ายวัคซีนในวงกว้างมากขึ้นอาจส่งผลให้นักลงทุนขายสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรรัฐบาลและเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น อย่างไรก็ตามมีผู้ตอบแบบสอบถามบางส่วนที่คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 และ 10 ปีอาจปรับตัวลดลงเนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้นสูงเกินกว่าปัจจัยทางพื้นฐานมาก และอาจมีการแทรกแซงจาก ธปท. ได้หากอัตราผลตอบแทนขึ้นสูงเกินไป

 

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนมีนาคม 2564 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. รอบเดือนกุมภาพันธ์นี้อยู่ที่ระดับ 47 เพิ่มขึ้นจากครั้งที่แล้วและยังอยู่ในเกณฑ์ “ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged)” สะท้อนมุมมองของตลาดที่คาดว่าการประชุม กนง. ในเดือนมีนาคมนี้ กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.5 เนื่องจาก อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำแล้ว และ คาดว่า ธปท. ยังต้องติดตามการขยายตัวเศรษฐกิจ และมาตรการการคลังที่จะออกในปีนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

 

  • ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปีและ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ “เพิ่มขึ้น (Increase)” โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจากครั้งก่อนจากการมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากขึ้นคาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนจะเพิ่มสูงขึ้น สะท้อนมุมมองของตลาดที่ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 5 ปี และ 10 ปีน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 0.89% และ 1.50% ตามลำดับ ณ วันที่ทำการสำรวจ (19 ก.พ. 64)  โดยปัจจัยที่มีผลต่อการคาดการณ์ ได้แก่ อุปสงค์และอุปทานในตลาดตราสารหนี้ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลก รวมถึง Fund Flow ต่างชาติเป็นหลัก