“ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนอยู่ในโซนซบเซา
นักลงทุนคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และนโยบายการเงินของสหรัฐ
ขณะที่นักลงทุนกังวลกับสถานการณ์การเมืองและการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ”
—————————————————————————————————————————-
FETCO Press Release: วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) “ผลสำรวจในเดือนสิงหาคม พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าลดลง 21% อยู่ในเกณฑ์ซบเซา นักลงทุนคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือนโยบายการเงินของสหรัฐ และการไหลเข้าออกของเงินทุน รวมถึงความคาดหวังการผลิตวัคซีนป้องกัน Covid-19 สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ปัจจัยรองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในอเมริกาและยุโรป”
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนสิงหาคม 2563 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
- ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤศจิกายน 2563) อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” (ช่วงค่าดัชนี 40 – 79) โดยลดลง 21% มาอยู่ที่ระดับ 52
- ความเชื่อมั่นนักลงทุนเกือบทุกกลุ่มอยู่ในระดับ “ทรงตัว” ยกเว้นความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในกลุ่ม “ซบเซาอย่างมาก”
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดอาหารและเครื่องดื่ม (FOOD)
- หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร (BANK)
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ
“ผลสำรวจ ณ เดือนสิงหาคม 2563 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติปรับตัวลงลงอยู่ในระดับ “ซบเซาอย่างมาก” ที่ 25.00 ในขณะที่ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มอื่นอยู่ในระดับ “ทรงตัว” โดยความเชื่อมันกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับขึ้นมาเล็กน้อยที่ 90.63 ความเชื่อมั่นของกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับขึ้นมาที่ 100.00 และความเชื่อมั่นของกลุ่มสถาบันในประเทศปรับลดลงมาอยู่ที่ 87.50
ช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนสิงหาคม 2563 SET Index เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบระหว่าง 1,321.23—1,346.69 จุด จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัว จากนั้น ดัชนีปรับตัวลดลงหลังจากการประกาศ GDP ไตรมาส 2/2563 ซึ่งหดตัว –12.2% เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อีกทั้ง สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศหลังจากมีการชุมนุมในช่วงสัปดาห์ที่สามของเดือน ความกังวลต่อการระบาดรอบสองของ Covid-19 ในประเทศ และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 ปี 2563 ที่กำไรออกมาไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายจ่ายภาครัฐ ทั้งที่มาจากการเบิกจ่ายในงบประมาณ และมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบของภาครัฐ โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 SET Index ปิดที่ 1,310.66 ปรับตัวลงเล็กน้อยจากเดือนกรกฎาคม
นักลงทุนคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือนโยบายการเงินของสหรัฐ และการไหลเข้าออกของเงินทุน รวมถึงความคาดหวังผลของการผลิตวัคซีนป้องกัน Covid-19 สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ปัจจัยรองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในอเมริกาและยุโรป
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การแพร่ระบาดรอบสองของ COVID-19 ในหลายประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้ล่าช้าออกไป และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยปัจจัยในประเทศที่น่าติดตามได้แก่ ความไม่แน่นอนของการต่ออายุมาตรการสนับสนุนของภาครัฐที่กำลังจะหมดอายุ ความเสี่ยงด้านการว่างงานและการปิดกิจการที่อาจเพิ่มสูงขึ้นมาก รวมถึงความไม่สงบทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น”
ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนกันยายน 2563
ผลจากดัชนีสะท้อนการคาดการณ์ของตลาดที่คงมุมมองเช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว ว่า กนง. จะรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และอายุ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 3 มีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากการสำรวจเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 63 แต่อาจปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 4 จากปริมาณการออกพันธบัตรภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนกันยายน 2563 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. รอบเดือนกันยายนนี้อยู่ที่ระดับ 50 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับครั้งที่แล้วและอยู่ในเกณฑ์ “ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged)” สะท้อนมุมมองของตลาดที่ว่าการประชุม กนง. ในเดือนกันยายนนี้ กนง. น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.5 เนื่องจาก อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำแล้ว และรัฐบาลมีการออกมาตรการด้านต่างๆมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้ความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง
- ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปีและ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 3 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged)” แม้จะมีการปรับตัวสูงขึ้นจากครั้งก่อน สะท้อนมุมมองของตลาดที่ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 5 ปี และ 10 ปีน่าจะยังทรงตัวใกล้เคียงระดับ 0.92% และ 1.51% ตามลำดับ ณ วันที่ทำการสำรวจ (31 ส.ค. 63) โดยปัจจัยที่มีผลต่อการคาดการณ์ ได้แก่ เแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว และอุปทานของพันธบัตรรัฐบาลที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจากการออกพันธบัตรเพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ